เทศน์พระ

เบี่ยงงา

๗ ก.ย. ๒๕๖๘

เบี่ยงงา

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์พระ วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม เราบวชมาเป็นพระ บวชมาเพื่อแสวงหาสัจธรรมในชีวิต สัจธรรมในชีวิตนะ เราประพฤติปฏิบัติมาไง เวลาเริ่มต้นขึ้นมา ชีวิตนี้มาจากไหน มันสงสัยไปหมดล่ะ สัจธรรมของชีวิต เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ชีวิตนี้มาจากไหน มาจากพ่อแม่ให้มา ศึกษาวิชาการมา ๑๘ วิชาการจะมาเป็นกษัตริย์ ถ้าพราหมณ์พยากรณ์ไว้ว่า ถ้าได้อยู่ทางโลกจะได้เป็นจักรพรรดิ แต่ถ้าได้ออกบวชจะเป็นศาสดา

ศึกษาค้นคว้ามา ชีวิตนี้คืออะไร ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นเช่นนั้นใช่ไหม เราต้องตายเหมือนเขาใช่ไหม เราเกิดมาเหมือนเขา เราก็ต้องตายเหมือนเขาใช่ไหม แล้วชีวิตนี้มันคืออะไรล่ะ แล้วอะไรมันมาเกิด แล้วอะไรมันมาตายล่ะ แล้วใครเป็นคนเกิด แล้วใครเป็นคนตาย

ชีวิตนี้คืออะไร

เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีอำนาจวาสนาได้มาบวชเป็นพระ เป็นพระประพฤติปฏิบัติไง ถ้ามีสติมีปัญญาทำความสงบของใจได้ มันจะมีความปกติสุข แต่เราดูหัวใจเราสิ มันจะมีความปกติสุขอยู่ตลอดเวลาหรือไม่

ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ มีศรัทธา มีคุณธรรม มันอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไง แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมา เห็นไหม มันคัน มันคันยุบยิบๆ มันทิ่มมันตำ มันทำให้ทุกข์ ทั้งๆ ที่เราก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็เป็นชาวพุทธไง เราบวชเป็นพระไง มีศีล ๒๒๗ ไง แล้วฆ่ากิเลสได้ไหมล่ะ แล้วกำราบมันได้หรือไม่

กิเลสในใจมันสยบยอมจำนนกับศีล สมาธิ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วเราศึกษาค้นคว้ามันเป็นฉลากยา มันเป็นทฤษฎีไง แล้วสติเราล่ะ แล้วศีลเราล่ะ แล้วสมาธิเราล่ะ มันอยู่ไหนล่ะ ก็มันไม่มีไง มันถึงทุกข์ไง แล้วถ้ามันมีล่ะ มี มีมาจากไหน

ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทิ่มมันตำนะ ช้างสารตกมันน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย อวิชชาเวลามันฟาดงวงฟาดงาเหมือนช้างสารที่ตกมัน

เอ็งดูช้างสารตกมันสิ ครวญช้างเอาอยู่ไหม แล้วเวลากิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย ช้างสารที่ตกมัน เอ็งคุมมันได้ไหม เอ็งดูแลมันได้หรือเปล่า จิตใจของเราเอง เอ็งดูแลจิตใจเอ็งได้ไหม เอ็งดูแลจิตใจเอ็งไม่ได้เลย แล้วเอ็งก็พ่ายแพ้มาตลอดไง

แล้วถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อๆ ความเชื่อ เห็นไหม เขาเล่าว่า เขาบอก นี่ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาไง เขาเล่าว่า นักปราชญ์ราชบัณฑิตเรียนมามันก็โต้แย้งกันทางวิชาการ แล้วเวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา โดยหลวงปู่มั่นเลย จิตเป็นอย่างไร สมาธิเอ็งเป็นอย่างไร ตอบไม่ได้ ตอบไม่ถูกหรอก เวลาเจอหลวงปู่มั่น หลบหน้าเลยล่ะ

แต่ถ้าเป็นหลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ เข้าใส่เลย เข้าไปนวดเส้น เข้าไปใกล้ชิดเลย ฌานสมาบัติเป็นอย่างไร เวลาเกิดมรรค มรรคเกิดอย่างไร ถ้าเป็นจริงเป็นจัง เป็นจริงเป็นจังอย่างไร เพราะท่านประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เจี๊ยะจิตสงบแล้วพิจารณากาย หลวงตาพระมหาบัวท่านพิจารณาเวทนาของท่านไง

นี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านรอเลย เวลาถึงที่สุด เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนานะ เวลาขึ้นไปรายงานท่าน

“เออ! มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้” มันมีที่มาที่ไปไง

คนภาวนาดีแต่ละเมอเพ้อพกบ้าบอคอแตก ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เวลากิเลสมันย่ำยีไง ที่ว่าจะประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อจะต่อสู้กิเลส กิเลสมันพลิกเลย กูเป็นธรรม อยู่เหนือมึงด้วย เหยียบหัวมึงอยู่ใต้ตีนกูนี่ ยอมจำนนหมดล่ะ ไร้สาระ

เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันเป็นจริงเป็นจังในหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้ขึ้นมา เวลายอมจำนนกับกิเลสไง แล้วก็หัวโขนไง สำคัญว่ามีคุณธรรม สำคัญว่าเป็นธรรม...เป็นไหม

โดยถ้ามันเป็นธรรมนะ เวลา ขณะนิโรธดับทุกข์ สังโยชน์ขาดดั่งแขนขาด เออ! หลวงปู่มั่นไง “เออ! มันต้องอย่างนี้สิ” ถ้ามันเป็นอย่างนี้มันเป็นอย่างไร มันเป็นข้อเท็จจริงในหัวใจนั้นไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นพระสกิทาคามีขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นรับประกัน หลวงตาพระมหาบัวเริ่มต้นปฏิบัติทีแรกจิตมันเสื่อม กลับมาทำความสงบของใจ จิตเป็นอย่างไรนี่แหละ มหาจิตอยู่ไหม มหาเอาจิตได้อยู่ในอำนาจหรือเปล่า มหาต่อสู้กับมันไง

เวลาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาไง นั่งสมาธิเวลาจะสู้กับเวทนาตลอดรุ่งๆ สงบลงๆ ไง มันปล่อยวางชั่วคราว ชั่วคราวก็ชั่วคราว ขึ้นไปทีไรลงมาทุกที เวลามันขาด ขณะนิโรธ ขึ้นไปรายงานเลย

“เออ! มันต้องเป็นอย่างนี้สิ” มันเป็นอย่างนี้มันมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปไง นี่ไง นักปฏิบัติไง

ฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรมเพื่อหัวใจดวงนี้ไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระนักรบรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน

เวลาครูบาอาจารย์ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นความนุ่มนวลอ่อนหวาน เบี่ยงงวง งวงเวลาลูบคลำขึ้นมาด้วยความนุ่มนวล ด้วยความผูกพัน เบี่ยงงา เวลาเบี่ยงงา เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันรุนแรงไง เข้ามาก็ไสใส่น่ะสิ งาทิ่มเข้ามาก็ตายน่ะสิ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมเบี่ยงงา หลบหลีกไง เพราะอะไร

เพราะไอ้นั่นมันบ้า บ้ากิเลส บ้าตัณหา บ้าทะยานอยาก บ้าละเมอเพ้อพก ทำสมาธิยังไม่เป็น ทำความสงบของใจก็ไม่ได้ เวลาไสเข้ามา เบี่ยงงา ไม่ประทะ ไร้สาระ เห็นไหม เหมือนเวลาพ่อแม่เลี้ยงลูก ลูกมันน่ารักน่าชัง มันตบมันตี พ่อแม่ยิ้มแย้มแจ่มใส มันตบมันตี มันเล่นน่ะ มันไม่พอใจมันกระฟัดกระเฟียดๆ พ่อแม่ก็อนุโลมเพราะว่าด้วยสายใย ด้วยความรัก

เวลาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เวลามันไสงวงไสงาเข้ามานั่นน่ะ เพราะอะไร

อวิชชาอยู่ที่ฐีติจิต หลวงปู่มั่นบอก จิตที่มืดบอด จิตที่อวิชชาคือความไม่รู้ มันไม่รู้ตัวมันเลยนะน่ะ เวลามันไสงวงไสงาเข้าไป มันนึกว่าเป็นธรรมๆ เป็นธรรมตรงไหน

ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะ เบี่ยงงา เริ่มต้นนุ่มนวลอ่อนหวานก็เบี่ยงงวง เบี่ยงมันออก เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้ มันไม่เข้าใจ มันมืดบอด มันเป็นอวิชชา

เวลาทางโลกมันน่าเศร้าใจ มันจะเอาแต่ความพอใจของมัน เสพยาจนบ้า วิตกกังวลจนซึมเศร้า เวลามีปัญหาขึ้นมา เวลาขาดสติ แจ้งเจ้าหน้าที่ เขาเอาแต่ไม้ค้ำ ง่ามค้ำไว้ ไม่ต้องเบี่ยงงา เอาง่ามค้ำไว้เลยนะ

กดมันไว้ มันบ้า

เวลามันบ้า มันบ้าไง มันบ้าเพราะอะไรล่ะ มันบ้าเพราะมันขาดสติไง

ดูคนบ้า มันมีความสุข มันเก็บเล็กผสมน้อยตามสี่แยก ตามสี่แยกมันเก็บของมันพะรุงพะรัง คนบ่นพร่ำเพ้อของมันไปนะ มันเหม่อลอยตลอด มันมีความสุขของมันน่ะ มันขาดสติ เอ็งบรรลุธรรมอย่างนั้นใช่ไหม

เวลาครูบาอาจารย์นะ มันต้องมีสติ มันต้องมีสามัญสำนึก ถูกหรือผิด ทำอยู่นี่ เพราะทำความชั่วมันจะชั่วไปเรื่อยๆ ทำความผิดพลาดแล้วก็พยายามจะกลบเกลื่อนไว้ ว่าตัวเองยอดธรรมๆ มันยอดธรรมที่ไหน มีแต่ยอดมะพร้าวเขาเอามาไว้แกง ยอดธรรมๆ ถ้าผิดพลาดไป ตาลยอดด้วน

เอาจริงเอาจังของเรา

ครูบาอาจารย์ท่านเบี่ยงงา งาแหลมคมนะ ดูยุทธหัตถีสิ ยังเอางางัดเลย งัดให้เสยขึ้นไปเลยนะ ให้กษัตริย์ฟันขาดสะพายแล่งเลย เวลาเอางางัด เวลาออกศึก เวลากู้ชาติ กู้ชาติกู้บ้านกู้เมืองนั่นน่ะ

ไอ้นี่กู้ชีวิตของตน ชีวิตมาจากไหน เกิดมาทำไม ทั้งๆ ที่เกิด กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ ได้การเกิดเป็นมนุษย์นะ อาการ ๓๒ สมบูรณ์แบบ ถ้าไม่สมบูรณ์แบบมาบวชเป็นพระได้อย่างไร

มนุสสโสสิ อามะ ภันเต ข้าเป็นมนุษย์ ไม่เป็นหนี้ไม่เป็นสิน ไม่หนีคดีอาญาใดๆ ทั้งสิ้น อุปัชฌาย์ซักมาหมดแล้ว แล้วมาบวชเป็นพระๆ นี่ไง

ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เรามีอำนาจวาสนาของเรา แล้วเวลาจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไร้เดียงสา กิเลสนะ เด็กๆ มันไร้เดียงสา มันน่ารักน่าชัง นั่นมันความไร้เดียงสาไง พ่อแม่คุ้มครองดูแลไง ไอ้นี่ประพฤติปฏิบัติก็ไร้เดียงสาไง

ตั้งสติสิ มีฝึกหัดบริกรรมไว้ คำว่า บริกรรม” คือมีงาน มีเหตุไง

อยู่ดีๆ ก็เป็นสมาธิ อยู่ดีๆ โอ้โฮ! ว่างหมดเลย

โอย! กูปวดหัว มันเป็นเรื่องไร้สาระ มันเป็นเรื่องจินตนาการ มันเป็นถอนรากถอนโคน ความเพียรของตน มันถอนรากถอนโคนสัจจะความจริงที่เราจะฝึกหัดขึ้นมา

แล้วถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน ๔๐ ห้อง คือการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณเลย ใครมีอำนาจวาสนา เขาชีวิตสั้น เอาเขาก่อน

คำว่า วาสนาๆ ไง เขามีวาสนาของเขา เขาฟังธรรมะได้ เขารู้เรื่องของเขาได้ เอาคนคนนั้นก่อน นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการไง แผ่ธรรมๆ ก็อยากให้ทุกคนได้ความร่มเย็นเป็นสุขทั้งสิ้น เวลาเผยแผ่ธรรมไป ผู้ที่เป็นปุถุชนคนหนา อนุปุพพิกถา เริ่มต้นให้ทำทานก่อนๆ

ไอ้เรื่องทาน เรื่องทาน ดูสังคมของเรามีศรัทธาความเชื่อ เสียสละๆ นั่นน่ะ เสียสละนั้นก็เป็นวิธีการให้คนฝึกหัดให้หัวใจมันเป็นสาธารณะ ให้หัวใจมันมีสติปัญญาขึ้นมา

ทาน ศีล

ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ทำทานๆ มันก็เรื่องของทานไง เวลาทำทานๆ จนมันคุ้นชินอย่างนั้นใช่ไหม ไม่ยกระดับหัวใจของตนขึ้นเลยหรือ ถ้ายกระดับหัวใจของตนขึ้น มันจะเป็นปกติของความเป็นสุขไง

เราขวนขวายดิ้นรนขึ้นมาด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำ เวลาเราถือความเป็นปกติสุขไง เราอยู่โดยปกติสุขในใจของเราก็ได้ เราไม่ต้องขวนขวายขนาดนั้น สิ่งที่ขวนขวาย เราก็ได้ขวนขวายมาแล้ว สิ่งที่จิตใจมันควรแก่การงาน เห็นไหม เวลาทำความสงบของใจเข้ามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเริ่มแสดงอริยสัจไง

เริ่มต้น เริ่มต้นจะแสดงอริยสัจ หมูหมากาไก่มันจะรู้อะไร ความไร้เดียงสาของเด็ก ตั้งแต่ยังไม่ถึง ๓ ขวบมันไม่รู้เรื่องหรอก ๓ ขวบขึ้นไปมันจะรู้จักตัวมันเอง รู้จักถูกรู้จักผิด

นี่เหมือนกัน หัวใจ สัมมาสมาธิเป็นอย่างไร ความถูกต้องชอบธรรมเป็นอย่างไร

ประพฤติปฏิบัติกันง่อยเปลี้ยเสียขา บรรลุธรรม มันเศร้า มันไร้สาระ

ถ้ามันเป็นสาระสิ ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเรา สติสัมปชัญญะไง

หลวงตาพระมหาบัวเวลาท่านล้ม ท่านบอกเลย “เอ๊ะ! ทำไมห้องส้วมมันหนีเราไป” มันเอียงไง ทั้งๆ ที่ท่านล้มนะ ดูสติสิ

เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ เวลาท่านจะล้ม “เฮ้ย! ล้มๆๆ”

“เฮ้ย! ล้มๆๆ” มันล้มแปะไปอย่างนั้นน่ะเพราะอะไร เพราะท่านช่วยตัวเองไม่ได้

“เฮ้ย! ล้มๆๆ” ไอ้เราลองจะล้ม ดิ้นรนจะเป็นจะตาย

เวลามีสติสัมปชัญญะของเขาอย่างนั้น มีความสงบสุขมาอย่างนั้น เราการกระทำมันทำขึ้นมาให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาสิ

ไสงาเข้าไปจะชนกับกิเลส ไปเจอไม้ง่าม เอาไม้ง่ามค้ำไว้มึงก็ขวิดอยู่นั่นน่ะ ขวิดไม้ง่าม ไร้สาระ

ครูบาอาจารย์เขาเบี่ยงงา เขาไม่ไสช้างชนกันหรอก แต่เราจริงๆ เราจะหากิเลส มีสติ มีสมาธิ มีปัญญายกขึ้นสู่วิปัสสนา เราจะไสมรรคผลของเรา ไสมรรค ใจที่มีมรรค ไสเข้าไปให้ปะทะกับกิเลสในใจของตน ถ้ามันปะทะกับกิเลสในใจของตน นั่นน่ะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

นักรบศึกษาค้นคว้ามาตลอด แล้วถ้าจะรบกับกิเลสในใจของตนไง

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พระโสดาบันละกิเลสได้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ละกิเลสได้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ มันมีกิเลสยังอยู่อีก ๗๕ เปอร์เซ็นต์ มีคุณธรรม ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เวลาสกิทาคามีมีคุณธรรม ๕๐ เปอร์เซ็นต์ กิเลส ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พระอนาคามีมีคุณธรรม ๗๕ เปอร์เซ็นต์ มีกิเลส ๒๕ เปอร์เซ็นต์ พระอรหันต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

ความลด ลดลงไป กิเลสเบาบางลงไปในใจของตน มันขาดเป็นช่วงๆ เพราะอะไร สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง กามราคะ ปฏิฆะขาดไป รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ขาด ขาด ขาด ขาดออกจากใจทั้งสิ้นไง แล้วพอถ้ามันขาดออกจากใจ แล้วใจล่ะ วิหารธรรม เอโก ธมฺโม ที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง สติวินัย พร้อมหมด

ชีวิตนี้มาจากไหน พญามารตายไปจากจิตดวงนี้ นี่ไง จิตไม่เคยตายๆ ไง เวลาสิ้นกิเลส วิหารธรรมมีเกิดมีตายไหม มันไม่มีเกิด จิตไม่เคยตายๆ แต่พระอรหันต์ไม่เกิด ไม่มีอีกแล้ว ไม่ไปอีกแล้ว แล้วอยู่ไหนล่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นจิตไม่เคยตาย มันไปตลอด อย่างเช่นเราปุถุชน ไม่มีต้นไม่มีปลายนะเว้ย แล้วไม่รู้ว่าจะไปไหนด้วย

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลาโสดาบันรู้แล้ว ๗ ชาติ เวลาพระอนาคามีไม่เกิดบนกามภพ รู้ได้อย่างไร แล้วรู้ได้อย่างไร สุทัสสา สุทัสสี จิตมันไปอยู่ที่ไหน แล้วเวลามันสิ้นไป สิ้นไปตรงไหน แล้วสิ้นไปแล้วเหลืออะไร แล้วใครเป็นคนอยู่ ใครเป็นคนไป

หลวงปู่มั่นสิ้นกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนา หลวงปู่มั่นน่ะ เพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นสร้างคุณงามความดีในพระพุทธศาสนา

กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญอีกหนหนึ่ง พระกรรมฐานๆ มันเป็นยุคเป็นสมัย ไอ้พวกเราไอ้พวกลูกหลานไง ได้รับมรดกขึ้นมาไง ไม่เห็นคุณค่ามันทั้งสิ้น เวลารุ่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านโดนบีบคั้นขนาดไหน ครูบาอาจารย์ที่ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา วินัยแต่ละข้อ ทั้งๆ ที่มันมีของมันอยู่ ไม่เคยทำ ขว้างทิ้งหมด

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาทบทวนของท่าน ฟื้นฟูของท่าน สิ่งที่เราใช้กันอยู่นี่ จนเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้พอมันเคยชินแล้ว มันก็จะโยนทิ้งอีกแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญสักอย่าง มองข้ามทุกเรื่อง แล้วมึงจะหากิเลสมึงหรือ

ถ้ามันจะหากิเลส เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจ ถ้าเครื่องอยู่คือใจมันมีมาตรฐาน ใจพอมีมาตรฐานมันก็จะสงบระงับได้ง่าย แล้วใจมีมาตรฐาน มาตรฐานนั้นมันจะวัด ไหวไหม สั่นไหวไหม ทุกข์ยากหรือเปล่า สังคมเขาแข่งขันกัน เราจะไปแข่งกับเขาหรือ ถ้าใจเป็นธรรมนะ เห็นแล้วมันปลงธรรมสังเวช สังเวชมาก

แต่เวลาจิตมันเสื่อมนะ มันวิ่งไปหาเขาเลย จะเอากับเขาด้วย แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ มันเห็นแล้วมันสังเวช เหมือนพระบวชใหม่ โอ้วินัยนี่เปี๊ยบเลย นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด พอ ๕ พรรษาขึ้นสิ มันเรื่องธรรมดา โลกมันเจริญ มันไปแล้ว แล้วมันก็เศร้าหมองไง

ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันไม่ปกติ สมาธิมันเกิดอย่างไร นั่งก็สัปหงกโงกง่วง แล้วตัวเองก็ว่าเป็นสมาธิ

หลวงปู่มั่นกระทืบตายห่าเลย “จิตเป็นอย่างไร”

ไม่รู้

ไม่รู้นี่มันเศร้านะ

แล้วเด็กมันยังรู้ว่ามันมีชีวิต มันยังร้องไห้ เวลามันไม่พอใจมันดิ้นพราดๆๆ เลย ถ้ามันอะไรไม่ได้ดั่งใจนะ มันประท้วงพ่อแม่มันเลย ร้องไห้ อาวุธของมันเลย ร้องไห้เอา ร้องไห้บีบบังคับ ร้องไห้สยบยอม

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตเป็นอย่างไร เด็กไร้เดียงสามันยังรู้ มันยังกระฟัดกระเฟียดได้

บวชเป็นพระนะ อายุ ๒๐ บรรลุนิติภาวะ บวชเณรอายุ ๗ ขวบ ไล่นกไล่กาได้ บวชเณรได้ จะบวชพระ อายุ ๒๐ บรรลุนิติภาวะ แล้วมึงบรรลุนิติภาวะในตัวมึงหรือเปล่า ที่ทำกันอยู่นี่ถูกหรือผิด ที่ทำกันอยู่นี่ ทั้งๆ ก็มีการศึกษา ศีล ๒๒๗ ก็อ่าน อุปัชฌาย์ก็ยกเข้ามาอยู่แล้ว มีสามัญสำนึกไหม

ถ้ามีสามัญสำนึก เดี๋ยวมึงจะทำสมาธิได้ มันไม่อีลุ่ยฉุยแฉกไง

ศีลทิ้งไว้ กองไว้ โยนให้คนอื่น ศีลก็คอยจับผิดคนนู้น จับผิดคนนี้ คนนู้นแม่งหย่อนยาน คนนั้นไม่เข้มข้น

ถ้ามันเข้มข้น ทางจงกรมมันรื่นเริง นั่งสมาธิ โอ้โฮ! อาจหาญมาก อาจหาญนะ อดนอนผ่อนอาหาร เห็นไหม

ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ เพราะต้องทำหน้าที่การงาน จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเท่าที่มีศรัทธาความเชื่อ

ทางของสมณะ ๒๔ ชั่วโมง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์อดนอนผ่อนอาหาร ๗ วัน ๗ คืนทั้งนั้นน่ะ เวลามรรคมันหมุนนะ อนาคามิมรรค นอนไม่ได้เลย เหมือนคนตื่นจากไฟไหม้บ้าน ตื่นจากการเล่นการพนัน คือตกใจเต็มที่ จิตสว่างโพลงตลอด นอนไม่ได้

นอนไม่ได้นั้นคือจะตาย มันจะลากสังขารนี้ไปให้ตายเลย ตายแล้วยังอยู่ในอำนาจของมันน่ะ ยังต้องมีสติปัญญาเท่าทันนะ มันสว่างโพลงทั้งหลางวันและกลางคืน แล้วธรรมจักร จักรมันจะหมุนเต็มที่ของมัน คิดดูสิว่าคนเราความคิดมันดัน มันโพลงตลอด มันจะนอนอย่างไร เห็นไหม

ทางสองส่วนไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาสมดุลและพอดี

แล้วมันสมดุลและพอดีเพราะอะไร

เริ่มต้นปฏิบัติ เห็นไหม เบี่ยงงา ไม่เอางางัดกัน ไม่ทิ่มแทงกัน ไม่เอางายกขึ้นเลย เวลาปฏิบัติเริ่มต้นมันทุกข์มันยาก ปัญญามันก็เกิดไม่ได้ มันจะไปไหนก็ไปไม่รอด ปัญญามันไม่มี แล้วเวลามันมีขึ้นมาทีมันก็มีความสุขชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เสื่อมหมดไง

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปถ้ามันมีอำนาจวาสนา เป็นสติ เป็นมหาสตินะ เวลาปัญญามันสว่างโพลงขึ้นมา โอ๋ย! มันสว่างโพลงจนนอนหลับไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้ พยายามจะให้มันหลับ หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกเลย ท่านต้องกลับไปพุทโธๆ เพราะอะไร เพราะขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง

บอกสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ตอนนี้ใช้ปัญญา ปัญญามันเตลิดเปิดเปิง มันนอนไม่ได้เลยนะ มัน โอ๋ย! มันสว่างโพลงหมดเลย

นั่นล่ะสมบัติบ้า ไอ้บ้า ไอ้บ้า

แล้วทำอย่างไร

“พุทโธไง”

แม้แต่อนาคามิมรรคนะ จะเป็นพระอนาคามีอยู่แล้วยังต้องกลับมาพุทโธๆๆ พุทโธเกือบตายกว่าจะรั้งมันได้ จากที่มันสว่างโพลงให้มันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามาที่ว่าหลวงปู่มั่นถามว่า “จิตเป็นอย่างไร”

สมาธิคือสมาธิ สมาธิคือการนอนหลับพักผ่อน สมาธิคือการถอดเสี้ยนถอดหนามความเห็นถูกความเห็นผิดที่มันดันทุรังกันเต็มที่ เบี่ยงงา งามันจะงัด มันจะทิ่ม มันจะตำ

ทิ่มตำ ทิ่มตำใคร ทิ่มตำถูกต้องหรือเปล่า ทิ่มตำแล้วมันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ แล้วทิ่มตำธรรมหรือทิ่มตำกิเลสไง

ทิ่มตำธรรม ทิ่มตำธรรมมันจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา มันก็ไปทิ่มไปตำให้มันเสื่อมสภาพซะ เวลามันเลวร้ายเต็มที่ จะทิ่มจะตำกิเลส มันก็ทิ่มตำ มันก็ค้นคว้าไม่เจอ หาไม่เห็นสักที นี่ไง มันทิ่มตำใครไม่ได้เลย

ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม มันก็เป็นการวิปัสสนา สมถะ–วิปัสสนากรรมฐานโดยความชอบธรรม

ถ้าเป็นกิเลสมันสวมเขา เบี่ยงงวงเบี่ยงงาเพื่อเป็นสัจธรรม ถ้าทิ่มตำ ทิ่มตำโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทิ่มตำๆ มันจะเป็นมรรคเป็นผลมันก็ไม่เป็น ทิ่มตำๆ มันตกไปส่วนหนึ่งไง สว่างโพลงแต่มันก็ไม่ใช่มรรค ๘ ไง สว่างโพลงโดยกิเลสมันปลิ้นมันปล้อนไง กิเลสมันพลิกมันแพลงไง ถ้ามันมีมหาสติมันจะยั้งไง นั่นล่ะสมบัติบ้า สมบัติบ้าไง

สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ๆ ลองไปใช้ปัญญาๆ จนใช้ปัญญาไปมันจะนอนหลับไม่ได้เลยนะ มันพักผ่อนไม่ได้เลย นี่ใช้ปัญญา ไปใช้ปัญญาจนมันอ่อนเพลียไปหมด มันจะเป็นจะตาย

นั่นน่ะไอ้บ้า ไอ้บ้า

เวลาภาวนา ทางของสมณะ ๒๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงถ้าเป็นมรรคเป็นผลก็เรื่องหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงที่เราพยายามขวนขวายของเรา กิเลสมันยังมาช่วงชิงฉุดลากไปโดยความไม่รู้ โดยความไม่เข้าใจ ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนที่จะรู้เท่า

หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านผ่านวิกฤติอย่างนี้มาหมดแล้วแหละ ครูบาอาจารย์ที่ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เฮ้ย! เอ็งไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย เอ็งเป็นพระอรหันต์ กูงงว่ะ นอนหลับตื่นมาเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีที่มาที่ไปเลย มันจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ก็เด็กน้อยไง ไร้เดียงสา ไร้วุฒิภาวะ แล้วก็ละเมอเพ้อพก มันเป็นเพราะอะไรล่ะ

มันเป็นเพราะครูบาอาจารย์ของเราไง หลวงปู่มั่น “ต่อไปมันจะแซงหน้าแซงหลัง”

ผู้ที่เดินตาม เดินตามธรรมเพื่อเผชิญหน้ากับกิเลส ถ้ามีอำนาจวาสนา ปุถุชน กัลยาณชน ปุถุชนคนหนามันทุกข์มันยากไปทั้งนั้นน่ะ เรามีศีลมีธรรมของเรา เราพยายามมีสติสัมปชัญญะระงับของเรา แล้วฝึกหัดของเราให้มันมีศีลมีธรรมในใจของตน ถ้ามีศีลมีธรรมในใจของตนนะ ถ้ามันดีงาม เหยียบคันเร่งเลย แต่ถ้ามันทุกข์มันยากมันฝืนทน เหยียบเบรกไว้ เหยียบเบรกไว้

รถเบรกไม่มี เป็นไปไม่ได้ เบรกสำคัญกับสิ่งพาหนะที่การคมนาคมทั้งสิ้น ต้องมีเบรก ไม่มีมันเข้าเทียบไม่ได้ มันจอดไม่ได้ มันหยุดไม่ได้ เวลามันทุกข์มันยาก เบรกๆ เบรกมันไว้ เวลาถ้ามันทำคุณงามความดีถ้าเป็นศีลเป็นธรรม เร่ง เหยียบคันเร่ง เหยียบคันเร่งมันไว้ ทั้งคันเร่งและเบรก ทางสองส่วนไม่ควรเสพ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะ มันเป็นโดยคุณธรรม มันไม่เป็นโดยโลกๆ นี้หรอก

สิ่งที่เป็นโลกๆ มันเป็น เป็นกิริยา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎีสิ่งที่เราศึกษามาแล้วมันเป็นทฤษฎี มันเป็นวิธีการ แล้วเราก็เถียงกันด้วยวิธีการ แล้ววิธีการที่ปฏิบัติ วิธีการก็คือวิธี พิธีกรรม ปฏิบัติบูชาพิธี นั่งให้หล่อเชียว นั่งให้สวยเชียว จะภาวนาก็โฆษณาแม่งไป ๕ ปี แม่งนั่งสมาธิ ๒ นาที

ครูบาอาจารย์เราอยู่ในป่าในเขา เสียลับนะ ถ้าใครมาเห็นการภาวนาของเรา เวลาภาวนาไม่ให้ใครเห็นเลย แล้วเอาจริงเอาจัง อย่าให้กิเลสมันแทรก

“จะนั่งแล้วเหรอ คนเขาไม่รู้ว่าเราเป็นนักปฏิบัตินะ เราต้องนั่งให้เขาเห็นเขาดูเขารู้ว่าเราเป็นนักปฏิบัติ”

นี่ไง มันทิ่มกันด้วยงวงด้วยงา กิเลสมันปะทะเลยล่ะ กิเลสมันออก

แต่ถ้าเริ่มต้นหักแข้งหักขามันเลย ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย ใครจะเข้าวัดป่าบ้านตาด เขี้ยวเล็บถอดไว้ที่ประตู อย่าเอาเข้ามา เวลาเข้ามาแม่งพร้อมทั้งเขี้ยวพร้อมทั้งเล็บ แล้วก็เขี้ยวเล็บนั่นน่ะว่าบรรลุธรรม เขี้ยวเล็บนั่นน่ะเสริมด้วยธรรม เอาธรรมมาอ้าง แต่ที่มาปะทะนั่นน่ะ เขี้ยวเล็บกิเลสทั้งนั้นน่ะ

ถ้ามันเป็นจริง เขี้ยวเล็บมันต้องหักไว้ หักเขี้ยวเล็บทิ้งไป เราไม่ใช่นักเลงใหญ่ เราไม่ต้องการยิ่งใหญ่ไปจากใครทั้งสิ้น เขี้ยวเล็บหักออก แล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ แล้วถ้าใจมันสงบเข้ามา เราจะเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราต่างหาก

ที่บวชมาทั้งชีวิตนี้บวชมาเพื่ออะไร ก็บวชมาเพื่อเป็นนักรบ ฟังสิ นักรบ นักรบ แล้วมึงรบกับใคร มึงจะรบกับคนรอบข้างหรือ เขาก็เป็นคนเหมือนเรานะ เขาก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เขาก็บวชกับอุปัชฌาย์มาถูกต้องตามศีลตามธรรมด้วย สิทธิเสรีภาพมันเท่าเทียมกันน่ะ จะมีอะไร ใครใหญ่กว่าใคร

ไม่มีใครใหญ่กว่าใครทั้งสิ้น สิ่งที่จะเป็นจริงๆ สติอีกต่างหาก สมาธิต่างหาก ให้มันยิ่งใหญ่แล้วเหยียบทิฏฐิมานะอหังการในใจของตนให้ลงให้ได้ ถ้ามันลงได้เมื่อไรก็ เฮ้อ! เห็นไหม นักรบ

ไอ้นี่ไร้สาระ ปล่อยออกไปฟาดฟันคนอื่น กิเลสตัวยิ่งใหญ่ทั้งนั้นน่ะ แล้วเอาความจริงมาจากไหน ครูบาอาจารย์ท่านยังเบี่ยงงวงเบี่ยงงาเลย ท่านไม่ทิ่มไม่ตำด้วย

เพราะมันน่าสังเวชไง คนเกิดมาเหมือนกัน มีชีวิตเหมือนกัน กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา มันเป็นจริตเป็นนิสัย จริตนิสัยนั้นมันเป็นสิ่งสุดวิสัย เพราะมันเป็นอดีต สิ่งที่เราจะมานั่งกันอยู่นี่มาจากอดีตทั้งนั้น แล้วจะไปอนาคต อนาคตจากการกระทำนี้

มคฺโค ทางอันเอก ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา มันจะตัดหมด อดีตแก้กิเลสไม่ได้ อนาคตก็ไม่ได้ ปัจจุบันไง

บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อดีต ตั้งแต่พระเวสสันดรไป อนาคต ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปต่อหน้า แต่ไม่ไปเพราะบารมีสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แต่ข้อเท็จจริงนั้น จิตทุกดวงต้องเป็นอย่างนั้น ปัจจุบัน อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา พญามารดับสิ้นไปในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงในปัจจุบันนี้

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นนักรบๆ วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตเขาชีวิตเราไม่ต่างเลย มองสังคมสิ เขาก็เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน ชราคร่ำคร่านะ เจ็บไข้ได้ป่วยนะ โรงพยาบาลเต็มไปหมดเลย เขาไปเที่ยวอสุภะๆ มึงไปโรงพยาบาลสิ ถุงนะ ถุงปัสสาวะ ถุงอุจจาระ ถือกันไปถือ เห็นแล้วปลงธรรมสังเวชสิ ดูสิ มันทุกข์ขนาดไหน แล้วเดินจงกรมมันจะทุกข์อย่างนั้นหรือ เดินจงกรมดีกว่านั้นเยอะเลย

นี่นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้

มึงไปดูสิ หมดสติ พีอาร์ปั๊มกันอยู่นั่นน่ะ แล้วเราต้องปั๊มไหม

หายใจได้นี่ไง แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วมีสติสัมปชัญญะ เพราะจิตยังทำงานได้ มีสติสัมปชัญญะ พอจิตสงบ โอ้โฮ! โอ้โฮ! มีคุณค่ามาก

สิ่งใดไม่มีค่าเท่ากับหัวใจของคน หัวใจของคนมีค่ามาก ร่างกายนี่นะ ของเน่าเหม็นทั้งนั้นน่ะ เช้าๆ ขับถ่ายออกมามันคืออะไร เวลากินเข้าไปมันเน่าเหม็น ของไร้สาระ ไร้สาระจริงๆ แต่เป็นธรรมชาติ มันเป็นภพของมนุษย์มีกายกับใจ แล้วพิจารณาเป็นไหม มีคุณค่าไหม แล้วทำให้เป็นจริงขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเบี่ยงงวงเบี่ยงงาด้วยความเมตตาอนุเคราะห์ ไอ้เราอย่าให้กิเลสมันไสเข้าไป เที่ยวเอางวงลูบคลำฟาดงวงฟาดงากับคนอื่น เที่ยวเอางาของเราทิ่มตำเขา ทิ่มตำเขาด้วยโวหาร ปากนี้เที่ยวถากเที่ยวถาง

ถางกิเลสในใจเพื่อให้มันสงบระงับเข้ามา ทำให้จิตมันสงบระงับเข้ามา แล้วเราจะมีความปกติสุข แล้วถ้าสุขแล้วมันจะมีคุณค่าในชีวิตของตน

ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติล่วงไปแล้วๆ พระอรหันต์แต่ละองค์นิพพานไปหมดแล้ว

เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ กลัวหมอจะตายก่อนคนไข้ นี่ก็เหมือนกัน เราจะฝึกหัดปฏิบัติ เรากลัวครูบาอาจารย์ที่คอยแนะนำจะตายก่อนเรา

เราควรฝึกหัดปฏิบัติ อย่างน้อยคนป่วยที่มีหมอ มีโอกาส คนที่ฝึกหัดปฏิบัติมีครูบาอาจารย์ไปเคาะ คอยชี้ คอยประคอง อย่าให้บ้า บ้ายศ บ้าลาภ บ้าธรรม ธรรมบ้าๆ

เอาความจริงสิ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

สาธุ เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านพบกันนะ ท่านก้มลงแล้วกราบแล้วกราบอีก กราบแล้วกราบอีก เพราะอะไร อ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมเป็นธรรม

ไอ้บ้านะ มันเที่ยวปะทะเขาไปหมดล่ะ ไอ้บ้าน่ะประกาศให้สังคมยอมรับ มึงจะบ้า เอวัง